สโตรค(Stroke) ใช้นับแต้มในการ เล่นกอล์ฟ การนับสโตรค แบ่งเป็น 2 กรณี กรณีแรกนับตามจำนวนครั้งที่ตีลูกกอล์ฟ ไม่ว่าการตีครั้งนั้นจะทำให้ลูกกอล์ฟ เคลื่อนไหวหรือไม่ก็ตาม การกระทำนี้เรียกว่า 1 สโตรค ส่วนกรณีที่ 2 เป็นการนับแต้มที่เกิดจากความผิดในเรื่องมารยาทหรือกติกา ซึ่งมีค่าปรับที่แตกต่างกันตามความผิดที่เกิดขึ้น สำหรับการแข่งขันกอล์ฟแบ่งการตัดสินผลแพ้ชนะตามแต้มสโตรคออกเป็น 3 รูปแบบ
1.ตัดสินตามแต้มสโตรครวม
ปกติแล้วสนามกอล์ฟจะมีหลุมอยู่ทั้งหมด 18 หลุม ถูกออกแบบให้การตีลูกกอล์ฟให้ลงหลุมครบทุกหลุมจะใช้การตีทั้งหมด 72 ครั้ง ซึ่งจะได้สโตรค 72 แต้ม แต่ในการแข่งขันจะเจออุปสรรคหลายอย่างทำให้แต้มสโตรคไม่เท่ากัน เมื่อจบการแข่งขันแล้ว ผู้ที่มีสโตรคน้อยกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ
2.ตัดสินแพ้ชนะตามหลุม
กรณีนี้จะนับแต้มแยกเป็นหลุม ผู้ที่ตีลูกกอล์ฟให้เข้าหลุมโดยใช้จำนวนครั้งที่น้อยกว่าจะเป็นผู้ชนะและได้รับ 1 แต้ม เมื่อแข่งขันจนครบทุกหลุมแล้ว คนที่มีแต้มมากว่าจะเป็นผู้ชนะไป การตัดสินลักษณะนี้ยังสามารถจบการแข่งขันได้โดยไม่จำเป็นต้องตีกอล์ฟให้ครบทุกหลุม เช่น แข่งขัน 18 หลุม นักกีฬา A ชนะติดต่อกัน 10 หลุม จะเห็นว่าเหลืออีก 8 หลุมเท่านั้น ถึงแม้คู่ต่อสู้จะชนะอีก 8 หลุมที่เหลือก็ไม่สามารถชนะนักกีฬา A ที่มี 10 แต้มได้
3.ตัดสินตามระดับความสามารถของผู้แข่งขัน
การตัดสินผลแพ้ชนะลักษณะนี้จะถูกใช้ก็ต่อเมื่อผู้แข่งขันมีฝีมือต่างกัน เช่น นักกีฬา A เป็นนักกอล์ฟฝีมือดี ในการตีกอล์ฟ 18 หลุมจะมีสโตรครวม 70 แต้ม ส่วนนักกีฬา B เป็นนักกอล์ฟมือใหม่ ในการตีกอล์ฟ 18 หลุมจะมีสโตรครวม 80 แต้ม จะเห็นว่านักกีฬาสองคนนี้มีระดับฝีมือที่ต่างกัน เมื่อนักกีฬา A แข่งขันกับ นักกีฬา B พบว่ามีสโตรครวม 68 และ 74 ตามลำดับ จะเห็นว่านักกีฬา A มีแต้มน้อยกว่าปกติ 2 แต้ม ส่วนนักกีฬา B มีแต้มน้อยกว่าปกติ 6 แต้ม กรณีนี้ นักกีฬา B จะเป็นผู้ชนะ เนื่องจากแต้มที่ได้ลดลงจากปกติ ถึง 6 แต้ม ซึ่งมากกว่านักกีฬา A ที่ลดลงเพียง 2 แต้ม
อย่างที่ทราบกันว่าการเล่นกอล์ฟไม่จำเป็นต้องมีคู่ต่อสู้เสมอไป จึงมีการแข่งขันอีกรูปแบบในลักษณะ แข่งขันกับขีดจำกัดของตนเอง โดยใช้ “พาร์” (Par) เป็นตัวอ้างอิง ซึ่ง พาร์เป็นคำใช้เรียกมาตรฐานในการเล่นกอล์ฟ โดยแต่ละหลุมในสนามกอล์ฟจะมีความยากในการเล่นที่แตกต่างกัน เช่น พาร์ 3 หมายถึง ควรจะตีลูกกอล์ฟให้ลงหลุมนี้โดยใช้การตีเพียง 3 ครั้งเท่า ปัจจุบันนี้หลุมที่นิยมในการใช้เล่นกอล์ฟ คือ พาร์ 3 ถึง พาร์ 7 ยิ่งพาร์สูงแสดงว่าหลุมนั้นมีความยากมาก โดยความยากในการเล่นจะอยู่ในรูปแบบของระยะห่างระหว่างจุดเริ่มตีจนถึงหลุมกอล์ฟ และยังมีอุปสรรคด้านสิ่งแวดล้อมเช่นพื้นทราย พื้นหญ้า หนองน้ำ